โครงงาน"โลกของปะการัง"
แนวปะการัง
เป็นแนวหินปูนใต้ทะเลในระดับน้ำตื้นที่แสงแดดส่องถึง
หินปูนดังกล่าวเป็นผลมาจากการเจริญเติบโตของปะการังหลายๆ ชนิด นอกจากนี้
ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
อีกหลายชนิดที่มีส่วนเสริมสร้างหินปูนพอกพูนสะสมในแนวปะการัง เช่น สาหร่ายหินปูน
หอยที่มีเปลือกแข็ง ฯลฯ ทั้งปะการังเองและสิ่งมีชีวิตที่สร้างหินปูนได้
เมื่อตายไปแล้วจะยังคงเหลือซากหินปูนทับถมพอกพูนต่อไป
เนื่องจากแนวปะการังประกอบด้วยปะการังหลายชนิดและปะการังแต่ละชนิดมีลักษณะโครงสร้างแตกต่างกันไป
ทำให้โครงสร้างของแนวปะการังมีลักษณะซับซ้อน เต็มไปด้วยสอกหลีบเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตสิ่งมีชีวิตต่างๆ
เช่น ปลาชนิดต่าง ๆ กุ้ง หอย ดาวทะเล ปลิงทะเล ฟองน้ำ ปะการังอ่อน กัลปังหา
หนอนทะเล สาหร่ายทะเล เป็นต้น ทำให้แนวปะการังเป็นระบบนิเวศที่มีความซับซ้อน
และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดในทะเล ความอุดมสมบูรณ์ของแนวปะการังดึงดูดให้มีการใช้ประโยชน์จากแนวปะการังมากขึ้นทั้งโดยตรงและโดยทางอ้อม
ทรัพยากรสัตว์น้ำนานาชนิดจากแนวปะการังถูกนำขึ้นมาใช้ประโยชน์และการท่องเที่ยวในแนวปะการังเป็นที่นิยมมากขึ้น
ชีววิทยาและระบบนิเวศปะการัง
“ชนิดและการแพร่กระจาย”
ปะการังเป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง
แต่มีหินปูนเป็นโครงร่างแข็งที่เปรียบเสมือนกระดูก
หินปูนที่ว่านี้เป็นส่วนที่รองรับเนื้อเยื่อตัวปะการัง
ซึ่งมีรูปทรงเป็นทรงกระบอกเล็กๆ
และที่ปลายกระบอกจะมีหนวดที่คอยโบกสะพัดเพื่อจับอาหารที่เป็นแพลงก์ตอนในน้ำ
อาหารที่ปะการังใช้ในการดำรงชีพส่วนหนึ่งยังมาจากสารอาหารที่สาหร่ายสร้างขึ้น
สาหร่ายที่ว่านี้โดยทั่วไปเรียกว่า “ซูแซนเทลลี่ (Zooxanthellae) ”เป็นสาหร่ายเซลล์เดียว (single
cell algae) ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในเนื้อเยื่อของตัวปะการัง
โดยปะการังและสาหร่ายนี้จะอยู่ร่วมกันแบบมีประโยชน์ร่วมกัน
โดยปะการังให้ที่อยู่อาศัยและอาหารแก่สาหร่าย เช่น ของเสียที่เกิดขึ้น
ทั้งก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ที่เกิดจากขบวนการหายใจของปะการัง
และของเสียจากกากอาหารที่ย่อยแล้ว
สาหร่ายก็จะนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารต่อไป
หากสังเกตตามผิวหินปูนของปะการัง
จะเห็นช่องที่เป็นที่ฝังตัวของตัวปะการัง ซึ่งอาจจะเป็นช่องเล็กๆ เพียง 1 มิลลิเมตรจนถึงขนาด 2-3 เซนติเมตร
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของปะการัง ลักษณะช่องอาจจะเป็นช่องกลม รี เหลี่ยม
หรืออาจเป็นร่องยาวก็ได้
โดยช่องที่ว่านี้เป็นที่อยู่ของปะการังแต่ละตัวหรือหลายตัวก็ได้ในกรณีที่เป็นร่องยาว
ดังนั้น จะเห็นว่าในปะการังหนึ่งก้อน หนึ่งกอ หรือหนึ่งแผ่น ประกอบขึ้นด้วยตัวปะการังจำนวนมาก
โดยมีเนื้อเยื่อเชื่อมติดกัน เราจึงมักเรียกกันว่า “ปะการังอยู่กันเป็นกลุ่ม
(colony)” ตัวปะการังจำนวนมากประกอบขึ้นมาเป็นกลุ่มก้อน
เป็นผลมาจากการเจริญเติบโตของปะการัง ซึ่งก็คือการแบ่งตัวขยายพันธุ์แบบ “cloning”
นั่นเอง แต่ยังมีปะการังอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีจำนวนชนิดไม่มากนัก
โดยในหนึ่งก้อนประกอบขึ้นด้วยตัวปะการังเพียงตัวเดียว กล่าวคือ เป็นปะการังประเภท “ปะการังอยู่แบบเดี่ยว (solitary)” เช่น
ปะการังดอกเห็ด (Mushroom coral)
ปะการังอยู่กันเป็นกลุ่ม
(colony)
ปะการังอยู่แบบเดี่ยว
(solitary)
ชนิดปะการังในประเทศไทย
รายชื่อชนิดปะการังในประเทศไทย
และเอกสารแสดงชนิดปะการังที่พบในประเทศไทย พบรวม 18 วงศ์ 71 สกุล 389 ชนิด
ทั้งนี้จำนวน 273 ชนิด
เป็นพวกที่มีตัวอย่างรวบรวมไว้ตามพิพิธภัณฑ์ที่สถาบันต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น
ส่วนอีก 116 ชนิด
เป็นพวกที่คาดว่าน่าจะมีโอกาสพบในน่านน้ำไทย
ซึ่งจำนวนชนิดปะการังที่พบทั้งทางฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย
โดยมีตัวเลขแสดงจำนวนชนิดที่มีรายงานการพบ
และจำนวนชนิดที่ยังไม่มีรายงานการพบแต่คาดว่ามีในพื้นที่ โดยการคาดการณ์นี้
ยึดจากแผนที่การแพร่กระจายของชนิดปะการังจากหนังสือ “Coral of the World”
ตารางสรุปจำนวนชนิดปะการังแข็งที่พบในประเทศไทย
ฝั่งทะเล
|
จำนวนชนิด
ที่มีรายงานการค้นพบ |
จำนวนชนิด
ที่ยังไม่มีรายงานการค้นพบ แต่คาดว่ามีในพื้นที่ |
อ่าวไทย
|
240
|
102
|
อันดามัน
|
269
|
26
|
รวมทั้งหมด
|
273
|
116
|
ชนิดของปะการัง
ปะการังในโลกมีอยู่ประมาณ
400 ชนิด ซึ่งพบในน่านน้ำไทยประมาณ 240 ชนิด ซึ่งมีความสวยงามและมีรูปร่าง รูปทรงหลายแบบ เช่น
แบบกิ่งก้านเหมือนเขากวาง หรือเหมือนกิ่งไม้ แบบก้อน หรือโขด คล้ายสมองหรือรังผึ้ง
แบบแผ่นบางๆเหมือนใบไม้ หรือเคลือบตามพื้นผิวซากปะการังที่ตายไปแล้ว
ไม่ว่ารูปทรงจะต่างกันอย่างไรก็ตาม ปะการงทุกชนิด ต้องมีลักษณะร่วมประการหนึ่ง คือ
มีช่องเล็กๆ บนหินปูน ให้ตัวนุ่มๆของปะการังหดตัวเข้าไปอาศัยอยู่ได้
โดยปะการังเล็กๆนับร้อยนับพันตัวอยู่รวมกัน ยกเว้นปะการังดอกเห็ด ซึ่งหนึ่งก้อน
คือ หนึ่งตัว
รายละเอียดของชนิดปะการังในประเทศไทย
มีดังนี้
ปะการังพุ่มไม้ ( Cauliflower Coral )
คอรอมลัมเป็นช่อคล้ายกิ่งก้านของพุ่มไม้
ตามปรกติกิ่งก้านที่แตกแขนงออกมีลักษณะกลม หรือแบนเล็กน้อย
เมื่อตัดตามขวางแคลไลซ์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 1 มิลลิเมตร เป็นรูปสี่ถึงหกเหลี่ยมคล้ายลายตาข่าย
ขนาดช่อโคโลนีกว้างประมาณ 20 – 30 เซนติเมตร
ปะการังชนิดนี้พบอยู่ในเขตน้ำขึ้นน้ำลงจนถึงขอบด้านนอกของแนวปะการัง
และเป็นปะการังที่พบได้บ่อยมากในแนวปะการังทั่วไป
นอกจากนี้ระหว่างกิ่งก้านของปะการังมักมีปูใบ้ปะการัง (Trapezia cymdoce) อาศัยอยู่ด้วยเสมอ
ปะการังดอกกะหล่ำ ( Cauliflower
Coral )
คอรอมลัมของปะการังชนิดนี้มีลักษณะเป็นช่อที่แตกกิ่งก้านออกมาจากศูนย์กลาง
คล้ายดอกกะหล่ำตรงปลายของแต่ละกิ่งก้านแผ่แบบขยายออก
ผนังที่แบ่งกั้นคอรอลไลท์บางกว่าปะการังพุ่มไม้ ขนาดของช่อ กว้างประมาณ 12 เซนติเมตร ปะการังชนิดนี้พบเฉพาะในอ่าวไทย
บริเวณเขตน้ำขึ้นลงและพบจำนวนน้อย ตัวอย่างในภาพ ได้มาจากเกาะล้าน ชลบุรี
ปะการังเขากวาง ( Staghorn Coral )
คอลรอมลัมเป็นช่อที่กิ่งก้านแตกออกคล้ายเขากวาง
คอลรอลไลท์ที่อยู่ปลายยอดของกิ่ง มีขนาดใหญ่
ส่วนคอลรอลไลท์ด้านข้างมีผนังเจริญดีเฉพาะด้านนอกทำให้มีลักษณะคล้ายเกล็ด
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของแต่ละช่อกินเนื้อที่หลายตารางฟุต
ตรงปลายก้านปะการังมักมีสีชมพู
ปะการังชนิดนี้พบอยู่ทั่วไปในเขตน้ำขึ้นน้ำลงและลึกลงไป
ทั้งในอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน
ปะการังช่องแขนง ( Branching Pore
Coral )
คอรอมลัมลักษณะเป็นช่อ
คล้ายปะการังพุ่มไม้ ขนาดกว้างประมาณ 20 เซนติเมตร แคลไลซ์ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 1 มิลลิเมตร และไม่มีคลอรอลไลท์ที่อยู่ปลายยอดเหมือนปะการังเขากวาง
ปะการังชนิดนี้เจริญอยู่ในเขตน้ำขึ้นน้ำลงทางด้านในของขอบ
พบอยู่ทั่วไปในแนวปะการังของไทย ทั้งอ่าวไทยและฝั่งอันดา
ปะการังผักกาด ( leaf
Coral )
คอรอมลัมมีขนาดคล้ายช่อผักกาดที่บิดไปบิดมา มีโพลิเจริญดีอยู่ทั้งสองด้านตามขอบเป็นสันคม ขนาดความกว้างของช่อประมาณ 30 เซนติเมตร ปรกติมีสีเทา หรือน้ำตาล พบเจริญอยู่ทั่วไปในแนวปะการังตั้งแต่เขตน้ำขึ้นน้ำลงออกไปทั้งแนวอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน และแพร่กระจายทั่วไปแถบอินโดแปซิฟิก
คอรอมลัมมีขนาดคล้ายช่อผักกาดที่บิดไปบิดมา มีโพลิเจริญดีอยู่ทั้งสองด้านตามขอบเป็นสันคม ขนาดความกว้างของช่อประมาณ 30 เซนติเมตร ปรกติมีสีเทา หรือน้ำตาล พบเจริญอยู่ทั่วไปในแนวปะการังตั้งแต่เขตน้ำขึ้นน้ำลงออกไปทั้งแนวอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน และแพร่กระจายทั่วไปแถบอินโดแปซิฟิก
ปะการังตาข่าย ( Tombstone Coral
)
คอรอมลัมลักษณะเป็นก้อนหรือแผ่คลุมพื้นซากปะการัง แคลไลท์เป็นรูปเหลี่ยมลายตาข่าย โดยมีผนังกั้นในแนวรัศมีเรียงกัน 3 ชุด ปกติมักมีสีเหลืองอมเขียว พบเจริญอยู่ในแนวปะการังบางแห่งเป็นจำนวนน้อย ตัวอย่างในภาพได้มาจากภูเก็ต
คอรอมลัมลักษณะเป็นก้อนหรือแผ่คลุมพื้นซากปะการัง แคลไลท์เป็นรูปเหลี่ยมลายตาข่าย โดยมีผนังกั้นในแนวรัศมีเรียงกัน 3 ชุด ปกติมักมีสีเหลืองอมเขียว พบเจริญอยู่ในแนวปะการังบางแห่งเป็นจำนวนน้อย ตัวอย่างในภาพได้มาจากภูเก็ต
ปะการังขนมปังกรอบ ( Cracker
Coral )
คอรอมลัมลักษณะเป็นช่อซึ่งเกิดจากกิ่งก้านสั้นๆ
บิดพับไปมา คอรอลไลท์มีขนาดเล็กกว่า 1 มิลลิเมตร มองด้วยตาเปล่าเห็นไม่ชัด
ปะการังที่มีชีวิตดูคล้ายขนมปังกรอบสีน้ำตาล
พบเจริญอยู่ใต้เขตน้ำขึ้นน้ำลงทั้งในอ่าวไทย และฝั่งทะเลอันดามัน
ปะการังเห็ด ( Mushroom
Coral )
ปะการังที่อาศัยอยู่แบบเดี่ยว ลักษณะคล้ายดอกเห็ดรูปกลม นับเป็นปะการังที่มีคลอรอลไลท์ใหญ่มาก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20 – 30 เซนติเมตร สันที่จัดเรียงตัวกันในแนวรัศมีที่เห็นได้ชัดเจน และอยู่ชิดกันมาก ระหว่างสันนี้มีหนวดหดตัวแทรกอยู่เป็นระยะ เมื่ออยู่ในน้ำโพลิจะยื่นยาวออกมา แต่ผนังที่กั้นรอบคลอรอลไลท์ไม่เจริญ ระยะเริ่มแรกของการเจริญเติมโต ปะการังเห็ดมีก้านยึดติดกับพื้นปะการังชนิดอื่น เมื่อเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โพลิจะบานออกไปคล้ายดอกเห็ด ทำให้ก้านหัก ปะการังจึงหลุดจากพื้น บางครั้งเราอาจพบปะการังเห็ด อยู่ใกล้กันเจริญขึ้นจนเชื่อมเป็นเนื้อเดียวกัน 2 – 3 โพลิปะการังเห็ดที่พบเจริญอยู่ระหว่างปะการังอื่นนั้น หากอยู่ในระดับน้ำตื้น หรือในเขตน้ำขึ้นน้ำลง มักมีสีแดงอมม่วง ส่วนที่อยู่ลึกลงไปมีสีน้ำตาล ปะการังเห็ดชนิดนี้ เป็นชนิดที่พบได้บ่อยมากในแนวปะการัง ทั้งในอ่าวไทย และฝั่งทะเลอันดามัน
ปะการังที่อาศัยอยู่แบบเดี่ยว ลักษณะคล้ายดอกเห็ดรูปกลม นับเป็นปะการังที่มีคลอรอลไลท์ใหญ่มาก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20 – 30 เซนติเมตร สันที่จัดเรียงตัวกันในแนวรัศมีที่เห็นได้ชัดเจน และอยู่ชิดกันมาก ระหว่างสันนี้มีหนวดหดตัวแทรกอยู่เป็นระยะ เมื่ออยู่ในน้ำโพลิจะยื่นยาวออกมา แต่ผนังที่กั้นรอบคลอรอลไลท์ไม่เจริญ ระยะเริ่มแรกของการเจริญเติมโต ปะการังเห็ดมีก้านยึดติดกับพื้นปะการังชนิดอื่น เมื่อเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โพลิจะบานออกไปคล้ายดอกเห็ด ทำให้ก้านหัก ปะการังจึงหลุดจากพื้น บางครั้งเราอาจพบปะการังเห็ด อยู่ใกล้กันเจริญขึ้นจนเชื่อมเป็นเนื้อเดียวกัน 2 – 3 โพลิปะการังเห็ดที่พบเจริญอยู่ระหว่างปะการังอื่นนั้น หากอยู่ในระดับน้ำตื้น หรือในเขตน้ำขึ้นน้ำลง มักมีสีแดงอมม่วง ส่วนที่อยู่ลึกลงไปมีสีน้ำตาล ปะการังเห็ดชนิดนี้ เป็นชนิดที่พบได้บ่อยมากในแนวปะการัง ทั้งในอ่าวไทย และฝั่งทะเลอันดามัน
ปะการังดอกไม้ ( Anemone
Coral )
ปะการังดอกไม้ชนิดนี้มักมีสีน้ำตาลหรือเขียว ที่ชอบยืดตัวและบานหนวดออกจับเหยื่อ ในเวลากลางวัน คอรอมลัมมีลักษณะเป็นก้อนครึ่งวงกลม และเป็นอิสระจากพื้นถูกหยิบเก็บได้ง่าย เป็นที่นิยมของนักเลี้ยงปลาตู้ ขนาดความกว้างของคลอรอมลัมประมาณ 15 เซนติเมตร สันที่จัดเรียง ตัวตามแนวรัศมีของแคลไลซ์ไม่ค่อยเจริญ ทำให้ผนังระหว่างแคลไลซ์เป็นสันสูง พบเจริญอยู่ใต้ระดับน้ำลงต่ำสุดทางฝั่งทะเลอันดามัน และมีการแพร่กระจายทั่วไปในแถบอ่าวไทย
ปะการังดอกไม้ชนิดนี้มักมีสีน้ำตาลหรือเขียว ที่ชอบยืดตัวและบานหนวดออกจับเหยื่อ ในเวลากลางวัน คอรอมลัมมีลักษณะเป็นก้อนครึ่งวงกลม และเป็นอิสระจากพื้นถูกหยิบเก็บได้ง่าย เป็นที่นิยมของนักเลี้ยงปลาตู้ ขนาดความกว้างของคลอรอมลัมประมาณ 15 เซนติเมตร สันที่จัดเรียง ตัวตามแนวรัศมีของแคลไลซ์ไม่ค่อยเจริญ ทำให้ผนังระหว่างแคลไลซ์เป็นสันสูง พบเจริญอยู่ใต้ระดับน้ำลงต่ำสุดทางฝั่งทะเลอันดามัน และมีการแพร่กระจายทั่วไปในแถบอ่าวไทย
ปะการังโขดหิน หรือปะการังก้อน ( Hump Coral )
คอรอมลัมมีลักษณะเป็นก้อนขนาดใหญ่คล้ายโขดหิน
บางครั้งอาจมีลักษณะเป็นรูปวงแหวน หรือรูปเกือกม้า เนื่องจาก
โพลิส่วนบนที่โผล่พ้นน้ำตายและมีการทับถมของตะกอนทำให้สาหร่าย
หรือฟองน้ำเจริญขึ้นแทน ส่วนโพลิที่อยู่ทางด้านข้าง สามารถเจริญขยายออกไปได้เรื่อยๆ
ทำให้ดูคล้ายแนวปะการังแบบวงแหวนขนาดเล็ก ส่วนที่โผล่พ้นน้ำมักมีสีม่วงแดง
แคลไลซ์มีขนาดเล็ก ประมาณ 1 มิลลิเมตร
ปะการังชนิดนี้เป็นปะการังที่พบบ่อยมากในแนวปะการังทั่วไป และครอบคลุมพื้นที่
ของแนวปะการังส่วนใหญ่ตั้งแต่เขตน้ำขึ้นน้ำลงและที่ลึกลงไป
ปะการังก้อนรูปสมอง ( Knobbed Hump
Coral )
คอรอลไลท์เป็นก้อนคล้ายสมองเนื่องจากบริเวณผิวมีส่วนนูน
แคลไลซ์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 1.5 มิลลิเมตร และคอรอลไลท์กว้างประมาณ 30 เซนติเมตรพื้นผิวมีสีเทาอมม่วง
ปะการังชนิดนี้พบจำนวนน้อยตามแนวปะการังในเขตน้ำขึ้นน้ำลง
ตัวอย่างในภาพได้มาจากภูเก็ต
ปะการังแหวน ( RingedFavid
Coral )
คอรอลลัมเป็นก้อนขนาดเล็ก มักมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 20 เชนติเมตร แคลไลซ์มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 13 มิลลิเมตร ผนังกั้นรอบแคลไลท์เป็นรูปวงกลม หรือกลมรีคล้ายวงแหวน และมีร่องแบ่งระหว่าง ผนังแคลไลซ์ชัดเจน ขณะมีชีวิตมักมีสีเขียว ปะการังชนิดนี้พบได้บ่อยตามแนวปะการังทั่วไป ทั้งในอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน โดยเจริญอยู่ใน เขตน้ำขึ้นน้ำลง และลึกลงไปถึง 30 เมตร
คอรอลลัมเป็นก้อนขนาดเล็ก มักมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 20 เชนติเมตร แคลไลซ์มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 13 มิลลิเมตร ผนังกั้นรอบแคลไลท์เป็นรูปวงกลม หรือกลมรีคล้ายวงแหวน และมีร่องแบ่งระหว่าง ผนังแคลไลซ์ชัดเจน ขณะมีชีวิตมักมีสีเขียว ปะการังชนิดนี้พบได้บ่อยตามแนวปะการังทั่วไป ทั้งในอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน โดยเจริญอยู่ใน เขตน้ำขึ้นน้ำลง และลึกลงไปถึง 30 เมตร
ปะการังรังผึ้ง ( Favites Coral )
คอรอลลัมมีรูปร่างหลายแบบ
แจมีลักษณะเป็นก้อน เป็นช่อหรือแผ่คลุมซากปะการัง แคลไลซ์ส่วนใหญ่ เป็นรูป 5 – 6 เหลี่ยม จนถึงรูปวงกลม
สันที่จัดเรียงตัวตามแนวรัศมียื่นเข้าไปตรงกลางเป็นหน้าผา ผนังกั้นระหว่าง
แคลไลซ์ใช้ร่วมกับแคลไลซ์ข้างเคียง ซึ่งต่างจากปะการังแหวนสกุลที่ผนังกั้นแยกกัน
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ของแคลไลซ์ประมาณ 8 มิลลิเมตร
ปกติมักมีสีเขียวคล้ำ ปะการังชนิดนี้เป็นชนิดที่พบได้บ่อยมากในแนวปะการังทั่วไป
และมีการแพร่กระจายตั้งแต่ทะเลแดง ถึงออสเตรเลีย
ปะการังดาวสีทอง Golden Star
Coral
คอรอลลัมลักษณะเป็นก้อน
หรือแผ่ขยายคลุมพื้นออกไปทางด้านข้าง แคลไลซ์มีรูปร่างหลายเหลี่ยม หรือเกือบกลม
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 – 15 มิลลิเมตร ผนังกั้นรอบแคลไลซ์มีสันในแนวรัศมีเห็นได้ชัดเจน
ทำให้แต่ละโพลิมีขนาดคล้ายดาวและมีเนื้อเยื่อสีเหลืองทอง
ปะการังชนิดนี้พบอยู่ในเขตใกล้ระดับน้ำลงต่ำสุดและลึกลงไป
ตัวอย่างในภาพได้มาจากอ่าวมะขาม จ. ภูเก็ต
การสืบพันธุ์ของปะการัง
ปะการังเป็นสัตว์ที่สามารถสืบพันธุ์ได้
2 แบบ คือ แบบไม่อาศัยเพศและอาศัยเพศ
การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ
ในปะการังเกิดขึ้นได้หลายลักษณะ
ที่พบได้ทั่วไปคือการแตกหักจากก้อนปะการังเดิม (fragmentation)
ซึ้งอาจเกิดจากคลื่นลมตามธรรมชาติ หรือกิจกรรมจากมนุษย์
ถ้าส่วนที่หักตกอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมก็จะสามารถเจริญเติบโตเป็นโคโลนีใหม่ขึ้น
นอกจากนั้นปะการังยังสามารถสร้างโพลิพร้อมโครงสร้างหินปูนขึ้นมา
และเมื่อโพลิใหม่นี้เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะหลุดออกมาจากโคโลนีแม่ (polyp
expulsion) หรือในบางกรณีที่สภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลง
ไม่เหมาะสมหรือมีผู้ล่า
โพลิหรือเนื้อเยื่อของปะการังบางชนิดก็อาจหลุดออกมาจากโคโลนีแม่ (polyp
bail-out) ซึ่งวิธีนี้มักเกิดเมื่อโคโลนีเดิมไม่แข็งแรงและไม่สามารถเติบโตต่อไปได้
และในปะการังบางชนิดเช่น ปะการังดอกกะหล่ำ (Pocilloporadamicornis) สามารถผลิตตัวอ่อนปะการังได้ด้วยตัวเองจากไข่ที่ไม่ได้รับการปฏิสนธิจากน้ำเชื้อ
(partheno-genesis)
การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
ระบบสืบพันธุ์ของปะการังมีทั้งแบบที่แยกเพศ
และมีสองเพศในโคโลนีเดียวกันโดยส่วนใหญ่ คือ มีเพศผู้และเพศเมียในตัวเดียวกัน
มีส่วนน้อยที่แยกเพศในแต่ละโคโลนี ส่วนรูปแบบของการปฏิสนธิพบว่า ประมาณร้อยละ 75 ของปะการังจะปล่อยไข่และน้ำเชื้อออกมาผสมและเกิดการปฏิสนธิเป็นตัวอ่อนในมวลน้ำ
(external fertilization) หรือเรียกว่ากลุ่มที่เป็น spawnerโดยส่วนใหญ่ทำการปล่อยเซลล์สืบพันธุ์เป็นจำนวนมากเพียงครั้งเดียวในรอบปี
เช่น กลุ่มปะการังเขากวาง (Acroporidae) ส่วนอีกกลุ่มเป็นพวกที่มีการปฏิสนธิภายในโคโลนี
(internal fertilization) แล้วปล่อยตัวอ่อนระยะว่ายน้ำ (planula
larvae) ออกมาในมวลน้ำภายหลัง หรือกลุ่ม brooder ซึ่งปริมาณการปล่อยตัวอ่อนครั้งละไม่มากเท่ากับกลุ่มที่ปฏิสนธิภายนอก
แต่สามารถปล่อยตัวอ่อนเป็นประจำได้ทุกเดือนและตลอดปี
ตัวอ่อนปะการังใช้ระยะเวลาล่องลอยอยู่ในมวลน้ำแตกต่างกันไปในแต่ละชนิด
จากนั้นจึงลงเกาะในพื้นที่ที่เหมาะสม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่แข็งหรือซากปะการัง
ช่วงการปล่อยเซลล์สืบพันธุ์นั้นเกิดขึ้นเฉพาะบางเวลา
ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละชนิดและสถานที่ โดยมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการด้วยกัน
เช่น การขึ้นลงของน้ำที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับข้างขึ้นข้างแรม
หรืออุณหภูมิน้ำทะเล โดยปะการังมักจะปล่อยเซลล์สืบพันธ์ในช่วงที่น้ำทะเลมีอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นคือช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูร้อนหลังวันขึ้น
15 ค่ำ
แต่ทั้งนี้แต่ละพื้นที่ในละติจูดที่ต่างกันของโลกก็อาจมีความสัมพันธ์กับปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่างๆ
ที่แตกต่าง
การแพร่กระจายของแนวปะการัง
การที่เราไม่พบแนวปะการังใต้ท้องน้ำ
นั่นเป็นเพราะว่าสิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีพของปะการัง ซึ่งบริเวณที่จะพบปะการังได้นั้นต้องมีปัจจัยสิ่งแวดล้อมหลายอย่างเป็นองค์ประกอบอย่างเหมาะ
เจาะ เช่น น้ำใสมากพอจนแสงแดดส่องถึงพื้น มีพื้นหินบริเวณชายฝั่งให้ตัวอ่อนปะการังได้ยึดเกาะ
ไม่มีคลองน้ำจืดขนาดใหญ่ไหลลงทะเล และเป็นชายฝั่งที่ไม่ปะทะคลื่นทะเลรุนแรงเกินไป ลมมรสุมก่อให้เกิดคลื่นในทะเล ซึ่งคลื่นทะเลนี้เองที่เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางการแพร่กระจายของแนว
ปะการังตามเกาะกลางทะเล ในอ่าวไทยทางภาคใต้ได้รับอิทธิพลจากคลื่นลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ
ทำให้แนวปะการังในอ่าวไทยทางภาคใต้ก่อตัวตามริมฝั่งทาง ด้านตะวันตกและทิศใต้ ของเกาะต่างๆ
ส่วนชายฝั่งที่รับแรงปะทะจากคลื่นลมเต็มที่
คือ ด้านทิศเหนือและด้านตะวันออกของเกาะมักเป็นชายฝั่งโขดหินที่ไม่มีแนวปะการัง
แต่ก็อาจมีแนวปะการังก่อตัวขึ้นได้ตามปีกอ่าวที่สามารถกำบังคลื่นได้ ในทางกลับกันทางฝั่งทะเลอันดามันมีอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้เป็น
ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้แนวปะการังก่อตัวได้ดีเฉพาะทางชายฝั่งด้านตะวันออก และด้านเหนือของเกาะต่างๆ
ส่วนด้านตะวันตกและทิศใต้มักเป็นโขดหินที่มีปะการังขึ้นประปราย
ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว
ปะการัง
ฟอกขาว เป็นสภาวะที่ปะการังสูญเสียสาหร่ายเซลล์เดียว (Zooxanthellae) ที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการังแบบพึ่งพากัน
(Symbiosis) ทำให้ปะการังอ่อนแอเพราะไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ
และอาจตายถ้าไม่สามารถทนต่อสภาวะนี้ได้ (สีของปะการังเกิดจาก
รงควัตถุของสาหร่ายเซลล์เดียว)
สาเหตุที่ก่อให้เกิด
ปรากฏการณ์
แนวปะการัง
ฟอกขาว เป็นวงกว้างทั่วโลก มักเกิดจากการที่ อุณหภูมิ น้ำทะเล เพิ่มสูงขึ้น, ผลจากความเข้มแสง
หรือสองปัจจัยนี้ร่วมกัน ในขณะที่ สาเหตุอื่นๆ มักทำให้เกิด การฟอกขาวของปะการัง
เฉพาะพื้นที่เท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ ได้สังเกตพบว่า โดยทั่วไป ปะการัง จะสามารถ ปรับ ตัว ให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อมที่มันอาศัย โดยจะคงสภาพอยู่ได้ถึง ระดับ อุณหภูมิสูงสุด
ตามภาวะปรกติแต่ ปะการังจะฟอกขาว หากอุณหภูมิ ขึ้นสูงกว่าระดับสูงสุด
จากที่เคยเป็นเพียง ๑ เซลเซียสเท่านั้น สมมุติเช่น อุณหภูมิ
สูงสุดในอ่าวไทย ตามปรกติอยู่ที่ ๓๐ องศาเซลเซียส หากปีใด อุณหภูมิในอ่าวไทยสูงเกินกว่า
๓๑ องศาเซลเซียส โอกาสที่ ปะการัง จะฟอกขาว ก็ย่อมเกิดขึ้นได้
ปรากฏการณ์
แนวปะการังฟอกขาวนี้ มิได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก นักวิทยาศาสตร์ สังเกตเห็นความ
ผิดปรกติ จากปรากฏการณ์ แนวปะการัง ฟอกขาว มาตั้งแต่ปี
พ.ศ. ๒๕๒๗ โดยพบว่า ปะการังเกิดการฟอกขาว อย่างกว้างขวาง ทั่วทั้งมหาสมุทรแปซิฟิก
หลังจากนั้น ก็พบในมหาสมุทรอื่นๆ เป็นประจำ ใน ประเทศไทยเอง การเกิดปรากฏการณ์
แนวปะการังฟอกขาวในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ นี้ ก็มิได้ เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกแต่ อาจนับเป็นครั้งแรก
ที่เกิดการฟอกขาว ของปะการัง ขึ้นทั่วทั้งอ่าวไทย ทั้งนี้เชื่อกันว่า
การเกิดปรากฏการณ์ แนว ปะการังฟอกขาว
ทั่วทั้งอ่าวไทยครั้ง นี้เป็นผลมาจาก ปรากฏการณ์ เอลนีโญ ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี
พ.ศ. ๒๕๔๐และส่งผลกระทบต่อ สภาพ ภูมิอากาศโลก รวมทั้งทำให้เกิด ปรากฏการณ์ แนวปะการัง
ฟอกขาว ในน่านน้ำอื่นๆ เกือบทั่วโลกด้วย
ปัจจัยสิ่งแวดล้อมในแนวปะการัง
ปัจจัยสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศแนวปะการัง มีหลายด้าน ประกอบด้วย
แสง
แนวปะการังทั่วไปพบอยู่ในบริเวณน้ำตื้นที่แสงส่องถึงหรือในที่ที่มีตะกอนหรือแพลงก์ตอนในปริมาณที่แสงสามารถส่องถึงเนื่องจากสาหร่ายซูแซนเทลลี่
(zooxanthellae) ที่อยู่ในเนื้อเยื้อปะการังต้องการแสงในการสังเคราะห์แสง
ซึ่งสาหร่ายซูแซนเทลลี่นั้น คือ สาหร่ายเซลล์เดียวในสกุล Symbiodinium
spp. มีสีน้ำตาลอมเหลือง
อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการังแบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันกับปะการัง
และเป็นแหล่งพลังงานหลักของปะการัง (มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์
ของพลังงานที่ปะการังได้รับ) สาหร่ายซูแซนเทลลี่จะใช้ของเสียที่เกิดจากปะการัง
เช่น คาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการหายใจ และธาตุอาหารต่างๆ
จากกระบวนการเมตาบอลิซึมมาใช้ในการสังเคราะห์แสงที่ได้ผลผลิตเป็นออกซิเจนและสารอาหารส่งกลับให้ปะการัง
แต่ปะการังบางประเภทสามารถอยู่ในน้ำลึกได้
เนื่องจากไม่มีสาหร่ายซูแซนเทลลี่อยู่ในเนื้อเยื่อ
ปะการังกลุ่มนี้มีการเจริญเติบโตช้าและไม่สามารถพัฒนาเป็นแนวปะการัง
ดังนั้นจึงพบแนวปะการังตามแนวชายฝั่งรอบเกาะหรือภูเขาใต้ทะเล
และไม่พบแนวปะการังในที่ที่ลึกกว่า 50 เมตร
อุณหภูมิ
โดยปกติปะการังสามารถดำรงชีวิตได้ในที่ที่มีอุณหภูมิน้ำทะเลอยู่ในช่วง
20-30 องศาเซลเซียส
แต่หากอุณหภูมิน้ำทะเลมีการเปลี่ยนแปลงจากปกติเช่น
อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิสูงสุดที่ปะการังสามารถอยู่ได้ตามปกติ 1-2 องศาเซลเซียสติดต่อกันเป็นเวลานาน
ปะการังจะขับสาหร่ายซูแซนเทลลี่ออกจากเซลล์ และเนื่องจากรงควัตถุของสาหร่ายชนิดนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ปะการังมีสีต่างๆ
ดังนั้นเมื่อไม่มีสาหร่ายจึงสามารถมองผ่านเนื้อเยื้อใสของปะการังลงไปจนเห็นสีขาวของโครงสร้างหินปูน
ซึ้งเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าปะการังฟอกขาว
ความเค็ม
ปะการังต้องการความเค็มที่ค่อนข้างคงที่ในช่วง
30-36 ดังนั้น บริเวณปากแม่น้ำหรือในพื้นที่ที่มีน้ำจืดไหลลงมามากจึงไม่พบแนวปะการัง
หรืออาจมีปะการังบางชนิดที่ทนน้ำกร่อยขึ้นกระจายเป็นหย่อมๆ
ตะกอน
ตะกอนที่มีขนาดเล็กคล้ายดินโคลน
(silt, clay) เป็นอันตรายต่อปะการังมาก
เพราะนอกจากจะลดการส่องผ่านของแสงแล้ว ตะกอนเหล่านั้นอาจปกคลุมอยู่บนก้อนปะการังซึ่งโดยทั่วไปแล้ว
ปะการังสามารถขับเมือกออกมาเพื่อจับกับตะกอนให้ไหลหลุดออกไปได้
และในบริเวณที่มีคลื่นหรือกระแสน้ำไหลเวียนดีตะกอนจะถูกพัดพาออกไป
ปะการังจึงสามารถอยู่ได้
แต่ในบริเวณที่มีการตกของตะกอนมากเกินไปจนปะการังไม่สามารถกำจัดออกไปได้ทันปะการังจะเสื่อมโทรมลงและตายในที่สุด
พื้นที่ลงเกาะ
ตัวอ่อนของปะการังส่วนใหญ่จะสร้างฐานหินปูนยึดติดกับพื้นที่ลงเกาะก่อนที่จะเจริญเติบโตขยายขนาดโคโลนีต่อไป
พื้นที่ที่ปะการังสามารถลงเกาะและสามารถเจริญเติบโตได้ดีควรเป็นพื้นที่แข็งที่มีความมั่นคง
ไม่ถูกกระแสคลื่นลมพัดพาไปโดยง่าย
รวมทั้งไม่มีสิ่งมีชีวิตที่จะมาแก่งแย่งพื้นที่กับปะการังขึ้นคลุมอยู่ก่อนแล้ว
เช่น สาหร่ายขนาดใหญ่ เพรียงหิน ฟองน้ำ พรมทะเล (zoanthids)
พื้นที่ที่ปะการังสามารถลงเกาะได้ดีได้แก่ ซากแนวปะการังเก่า
ก้อนหินขนาดใหญ่ แท่งเหล็ก แท่งคอนกรีต อิฐบล็อกซีเมนต์ ที่จมอยู่ใต้น้ำระยะหนึ่ง
เป็นต้น
ความหลากหลายในแนวปะการัง
แนวปะการังเป็นแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายของสัตว์ทะเลนับร้อยชนิดมาอาศัยอยู่รวมกัน
ทั้งสัตว์มีกระดูกสันหลังและไม่มีกระดูกสันหลัง โดยมีปะการังเป็นสัตว์กลุ่มใหญ่
และนอกจากนี้ยังมีสัตว์กลุ่มอื่นๆ ที่พบทั่วไปในแนวปะการัง ได้แก่ (ธรรมศักดิ์
และคณะ, 2547)
สาหร่าย (algae)
สาหร่ายที่เราสามารถพบเห็นได้ในแนวปะการัง
แบ่งออกเป็น 4 พวก ได้แก่
สาหร่ายสีเขียว สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน สาหร่ายสีแดงและสาหาร่ายสีน้ำตาล โดยแต่ละชนิดจะมีรูปร่างแตกต่างกัน
มีทั้งที่เป็นกิ่งก้าน คล้ายใบไม้
พุ้มไม้หรือเกาะเคลือบอยู่ตามแผ่นหินและซากของปะการังที่ตายแล้ว
สาหร่ายเหล่านี้มีความสำคัญทั้งในด้านของการเป็นอาหารให้กับสัตว์น้ำนานาชนิต
ซึ่งเป็นห่วงโซ่อาหารของระบบนิเวศแนวปะการังแล้ว ยังมีความสำคัญในด้านของเป็นแหล่งหลบภัยให้กับสัตว์น้ำ
เล็กๆ อีกด้วย นอกจากนี้สาหร่ายบางชนิดยังสามารถสร้างหินปูนขึ้นในตัวของมัน
ที่เรียกกันว่า สาหร่ายหินปูน (calcareous algae) ซึ่งเมื่อตายลงสาหร่ายเหล่านี้จะทับถมกันกลายเป็นแนวปะการังอีกแห่งด้วย
หญ้าทะเล (seagrass)
หญ้าทะเลเป็นพืชชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตอยู่ในทะเล
มีดอกและเมล็ด สามารถเจริญเติบโตได้ดีในบริเวณน้ำตื้นที่มีแสงแดดส่องถึง
หญ้าทะเลนอกจากจะเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของสัตว์น้ำหลายชนิดแล้ว
ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำวัยอ่อน นอกจากนั้นหญ้าทะเลยังมีส่วนช่วยในการป้องกันการกัดเซาะหน้าดินและดักตะกอนที่พัดพามาตามกระแสน้ำบริเวณริมฝั่งได้อีกด้วย
ฟองน้ำ (sponge)
ฟองน้ำเป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่งที่อาศัยอยู่ในทะเล
โดยทั่วไปจะพบเห็นได้ตามแนวปะการัง โดยฟองน้ำจะมีลักษณะรูปทรงแตกต่างกัน
ตั้งแต่ขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดใหญ่ ทั้งแบบเคลือบอยู่บนพื้นที่ แบบกิ่ง แบบก้อน
แบบแผ่น แบบแจกัน หรือแบบถ้วย หลายชนิดมีสีสันที่สวยงาม
ปะการังอ่อน (soft
coral)
ปะการังอ่อน
เป็นสัตว์จำพวกเดียวกับปะการังแข็ง
แต่ไม่สร้างโครงสร้างหินปูนห่อหุ้มตัวเหมือนปะการังแข็ง มีเพียงหินปูนขนาดเล็กที่เรียงกันอยู่ภายในตัว
เพื่อช่วยในการคงรูปร่างไว้ ซึ่งปะการังอ่อนแต่ละตัวจะมีหนวด 8 เส้น มีรูปร่างแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิด
บางชนิดมีลักษณะคล้ายต้นไม้ เป็นแผ่น หรือเป็นแบบกระจุก
ปะการังอ่อนชอบอาศัยอยู่ตามบริเวณที่มีกระแสน้ำเชี่ยว ซึ่งสีสันของปะการังอ่อนจะมีสีสันที่สวยงามเป็นที่ดึงดูดของนักท่องเที่ยวที่พบเห็น
กัลปังหา และแส้ทะเล (sea fan
and sea whip)
กัลปังหา
และแส้ทะเลเป็นสัตว์ในกลุ่มเดียวกับปะการังอ่อน
แต่กัลปังหามีกิ่งก้านซึ่งมีแกนแข็งเพราะโครงสร้างมีหินปูนอัดอยู่
และมีกอร์โกนินซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งแทรกเป็นองค์ประกอบ
ทำให้ตัวกัลปังหาสามารถโอนเอนไปตามกระแสน้ำได้ กัลปังหามีรูปร่างแตกต่างกัน
บางชนิดเป็นสันเรียวยาว บางชนิดมีกิ่งก้านสาขาแผ่คล้ายต้นไม้
ซึ่งจะสามารถพบเห็นได้ในบริเวณที่มีปะการังอ่อนอาศัยอยู่
ดอกไม้ทะเล (sea
anemone)
ดอกไม้ทะเลจัดเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับปะการังแข็ง
แต่ไม่สามารถสร้างโครงสร้างหินปูนได้ มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก
มีด้านล่างเป็นฐานสำหรับพยุงตัวยึดติดกดับก้อนหิน
มีหนวดและปากอยู่ด้านบนแผ่บานคล้ายดอกไม้ ดอกไม้ทะเลมีสีสันสวยงาม
มีหนวดซึ่งมีพิษไว้สำหรับจับเหยื่อ เช่น ปลาขนาดเล็ก และใช้สำหรับการป้องกันตัว
ปลาหลายชนิดใช้ดอกไม้ทะเลเป็นที่อยู่อาศัย เช่นปลาการ์ตูน
โดยปลาการ์ตูนจะใช้ดอกไม้ทะเลเป็นที่อยู่อาศัยและที่หลบภัย
ส่วนดอกไม้ทะเลก็ใช้ปลาการ์ตูนเป็นเหยื่อล่อปลาชนิดอื่น
หนอนทะเล (Polychaete)
หนอนทะเล
อาศัยอยู่ในแนวปะการังด้วยกันหลายชนิด ทั้งตัวกลม และตัวแบน
หนอนทะเลบางชนิดฝังตัวอยู่ตามก้อนปะการังหรือในทราย
โดยจะมีอวัยวะคล้ายพู่ขนสีสันสวยงามยื่นออกมาเพื่อใช้ในการหายใจ
บางชนิดสามารถว่ายน้ำได้อย่างอิสระ โดยการสร้างท่อหุ้มลำตัวไว้
หอยและหมึก (molluse)
หอยและหมึก
สามารถแบ่งชนิดและประเภทออกได้เป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มหอยฝาชีโบราณ กลุ่มลิ่นทะเล กลุ่มหอยงาช้าง
กลุ่มหอยฝาเดียว กลุ่มหอยสองฝาและกลุ่มหมึก
แต่โดยทั่วไปที่พบในแนวปะการังมีเพียงกลุ่มหอยฝาเดียว เช่น หอยนมสาว หอยเป๋าฮื้อ
ทากทะเล พวกหอยฝาเดียวนี้ จะคืบคลานหรือหลบอยู่ตามซอกปะการัง
อีกพวกที่พบคือกลุ่มหอยสองฝาและกลุ่มหมึก หอยสองฝาที่พบ เช่น หอยมือเสือ
นั้นมักฝังตัวอยู่ในปะการัง หอยหลายชนิดมีความสวยงาม เช่นหอยเบี้ย หอยเต้าปูน
หอยสังข์แตร หอยมือเสือ และหอยพัด ส่วนหมึกนั้น ที่พบได้มีทั้งที่ว่ายอยู่น้ำอยู่ตามแนวปะการัง
เช่น หมึกกล้วย และพวกที่คืบคลานอยู่ตามพื้น เช่น หมึกยักษ์
ครัสเตเชียน (crustacean)
สัตว์กลุ่มนี้ที่พบได้ในแนวปะการัง
ได้แก่พวกกุ้งและปู เป็นต้น
หลายชนิดในเวลากลางวันจะหลบซ่อนตัวจากศัตรูตามซอกตามโพรง ในแนวปะการัง หรือบางชนิดจะใช้การพลางตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ซึ่งทำให้พบเห็นยากในเวลากลางวัน แล้วจะออกหากินในเวลากลางคืน
ซึ่งสัตว์ในกลุ่มนี้ที่พบได้ในแนวปะการัง ได้แก่ ปู และกุ้ง เป็นต้น
สัตว์ที่มีผิวหนังเป็นปุ่ม (echinoderm)
เราสามารถพบเห็นสัตว์กลุ่มนี้ได้ในท้องทะเลเท่านั้น
โดยเฉพาะในบริเวณแนวปะการัง ได้แก่ เม่นทะเล ปลิงทะเล ดาวทะเล และดาวขนนก เป็นต้น
เพรียงหัวหอม (ascidians)
สัตว์กลุ่มนี้ส่วนมากแล้วจะสามารถพบเห็นได้ตามแนวสาหร่าย
โดยเฉพาะสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน ซึ่งสาหร่ายชนิดนี้จะช่วยให้เพรียงหัวหอมได้รับปริมาณสารอาหารเพิ่มมากขึ้น
เพรียงหัวหอมที่พบมีอยู่ด้วยกันหลายแห่ง บางแห่งมีสีสันและลวดลายสวยงามมาก
ปลา (fish)
ปลาในแนวปะการังมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด
ปลาในแนวปะการังมีประโยชน์ทั้งในด้านของการเป็นแหล่งอาหารให้กับมนุษย์ และสัตว์ในท้องทะเล
รวมถึงสร้างความสวยงานและสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศในท้องทะเล
ปลาในแนวปะการังมีด้วยกันหลากหลายทั้งขนาดและสีสัน บางชนิดออกหากินในเวลากลางวัน
เช่น ปลาสลิตหิน ปลาสินสมุทร ปลาผีเสื้อ ปลานกขุนทอง ปลาการ์ตูน ฯลฯ
ปลาบางชนิดออกหากินในเวลากลางคืน เช่น ปลาข้าวเม่าน้ำลึก และปลาอมไข่ ฯลฯ
การที่ปลาแต่ละกลุ่มแต่ละชนิดจะมีการดำรงชีวิตที่แตกต่างกันนั้น
มีส่วนช่วยทำให้ไม่เกิดการแก่งแย่งอาหารและก่อให้เกิดความสมดุลต่อระบบนิเวศในแนวปะการัง
เพราะปลาบางชนิดใช้แนวปะการังเป็นที่อยู่อาศัย แต่มีปลาบางชนิดใช้แนวปะการังเป็นเพียงที่หาอาหารและหลบภัยเท่านั้น
สถานภาพแนวปะการังในไทย
ใน ช่วงปี
พ.ศ.2537-2541 ได้มีการสำรวจแนวปะการังเพื่อจัดทำแผนที่แสดงการแพร่กระจายของ
แนวปะการังในประเทศไทย พร้อมกับแสดงสถานภาพความสมบูรณ์และความเสื่อมโทรม ทำให้ทราบว่าในประเทศไทยมีแหล่งแนวปะการังกระจายอยู่ตามชายฝั่งของแผ่นดิน
ใหญ่และตามเกาะต่างๆ เป็นพื้นที่รวมประมาณ 128,256 ไร่ ซึ่งเนื้อที่ประมาณครึ่งหนึ่งอยู่ทางฝั่งทะเลอันดามันและอีกครึ่งหนึ่งอยู่
ทางอ่าวไทย ทั้งนี้ เนื้อที่ดังกล่าวยังไม่รวมถึงชายฝั่งโขดหินที่มีปะการังขึ้นประปราย
และตามกองหินใต้น้ำซึ่งเป็นแหล่งที่โดดเด่นด้วยปะกา รังอ่อนและกัลปังหา ปัจจุบันกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งยังคงมีความพยายามที่จะสำรวจแหล่งแนว
ปะการังซึ่งคาดว่ายังมีอีกไม่ต่ำกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ยังตกสำรวจ เช่น ในปี พ.ศ.2552
ได้สำรวจแหล่งแนวปะการังใหม่ในเขตอำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา พบว่า
มีแนวปะการังก่อตัวห่างไกลออกไปจากฝั่งหลายแห่ง โดยเป็นแนวไม่ต่อเนื่องเป็นผืนเดียวกัน
แต่แยกเป็นผืนย่อยๆ คาดว่ามีไปถึงหน้าหาดไม้ขาว (เกาะภูเก็ต) ชาวประมงพื้นบ้านเรียกแหล่งแนวปะการังเหล่านี้ว่า
“แนวปะการังพันไร่” ในอนาคตบางจุดอาจมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวดำน้ำแบบดำน้ำลึก
(SCUBA diving) ส่วนการดำน้ำแบบผิวน้ำ (snorkeling) ไม่เหมาะสม เพราะเป็นแหล่งที่อยู่ห่างจากชายฝั่งมาก ทำให้ไม่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวที่ดำน้ำบนผิวน้ำ
ใน การสำรวจแนวปะการัง
ข้อมูลพื้นฐานที่ได้บันทึกคือ ปริมาณปกคลุมพื้นที่ของปะการังที่มีชีวิต และปริมาณปกคลุมพื้นที่ของปะการังตาย
ค่านี้แสดงให้เห็นว่าในแนวปะการังแต่ละแห่งมีปะการังที่มีชีวิตและปะการัง ตายปกคลุมอยู่หนาแน่นมากน้อยเพียงไร
ในการประเมินสถานภาพของแนวปะการังว่ามีสภาพดี หรือเสียหายมากน้อยเพียงไรนั้น ได้ใช้อัตราส่วนของปริมาณปกคลุมพื้นที่ของปะการังที่มีชีวิตต่อปะการังตายใน
แนวปะการังนั้นๆ มาเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน กล่าวคือ อัตราส่วนมากกว่าหรือเท่ากับ 3:1 ถือว่าเป็นแนวปะการังที่มีสภาพดีมาก อัตราส่วน 2:1
ถือว่าอยู่ในสภาพดี อัตราส่วนเท่ากับ 1:1 ถือว่าอยู่ในสภาพดีปานกลาง
อัตราส่วน เท่ากับ 1:2 ถือว่าเสียหาย และ 1:3 (หรือมากกว่า 3) ถือว่าเสียหายมาก
ตารางพื้นที่แนวปะการังในจังหวัดต่างๆ
เขต
|
จังหวัด
|
พื้นที่
(ไร่)
|
พื้นที่รวม
(ไร่)
|
|
ตราด
|
17,635
|
25,428
|
62,480
|
|
จันทบุรี
|
585
|
|||
ระยอง
|
3,141
|
|||
ชลบุรี
|
4,067
|
|||
ประจวบคีรีขันธ์
|
988
|
36,514
|
||
ชุมพร
|
5,030
|
|||
สุราษฎร์ธานี
|
30,496
|
|||
นครศรีธรรมราช
|
350
|
538
|
||
สงขลา
|
110
|
|||
ปัตตานี
|
78
|
|||
ระนอง
|
2,592
|
38,108
|
65,776
|
|
พังงา
|
23,810
|
|||
ภูเก็ต
|
11,706
|
|||
กระบี่
|
11,811
|
27,668
|
||
ตรัง
|
4,120
|
|||
สตูล
|
11,737
|
|||
รวม
|
128,256
|
|||
ลักษณะแนวปะการังของไทย
แนวปะการัง
ปะการังหลายๆ กลุ่มก้อนก่อตัวรวมกันเป็นแนวปะการัง ในที่นี้ให้คำจำกัดความของคำว่า
“แนวปะการัง” ว่า “แนวหินปูนใต้ทะเลในระดับน้ำตื้นที่แสงแดดส่องถึงหินปูนดังกล่าว เป็นผลมาจากการเจริญเติบ
โตของปะการังหลายๆ ชนิด” แนวปะการังในประเทศไทยทั้งหมดเป็นประเภทที่ก่อตัวริมฝั่ง
(fringing reef) นี้ แบ่งตามลักษณะสภาพ
แวดล้อมที่แตกต่างกันเป็น 4 รูปแบบด้วยกัน คือ
แนวปะการังริมฝั่ง
เป็นแนวปะการังที่แท้จริง เพราะเป็นการสะสมตัวจนกลายเป็นแนวปะการัง พบได้ทั่วไปในแหล่งดำน้ำดูปะการังน้ำตื้นตามชายฝั่งและหมู่เกาะต่างๆ
เป็นแนวปะการังชนิดที่ทรง คุณค่าที่สุด เพราะเป็นที่ที่สัตว์ทะเลจะใช้เวลาช่วงหนึ่งของชีวิตเข้ามาอาศัยเติบโตอยู่
ในบริเวณนี้ ปะการังชนิดนี้ ในปัจจุบันจัดเป็นปะการังที่มีความเสียหายมากที่สุดกลุ่มปะการังบนพื้นทราย
เป็นกลุ่มปะการังเล็กๆ ที่เกิดขึ้นบนพื้นทราย ยังมีการสะสมตัวกันไม่มากนัก ส่วนมากเป็นปะการังสมองและเขากวางปะการัง
แนวปะการังบนโขดหิน
อยู่ในแนวน้ำลึก พบได้ในแหล่งดำน้ำทั่วไปในหมู่เกาะสิมิลัน เช่น เกาะเจ็ด
(หินหัวกะโหลก) หรือ แฟนตาซี รีฟ เป็นต้น แนวปะการังชนิดนี้เปรียบดังโอเอซีสกลางทะเลทราย
จึงเป็นที่รวมตัวของสัตว์ทะเลหลากหลาย โดยเฉพาะฝูงปลาต่างๆ ที่แวะเวียนเข้ามาหาอาหารอย่างสม่ำเสมอแหล่ง
กัลปังหาและปะการังอ่อน ไม่เชิงเป็นแนวปะการัง แต่มีศักยภาพในการเป็นที่หลบภัยและที่อยู่อาศัยของปลาเล็กปลาน้อยไม่มากนัก
จึงไม่ค่อยมีคุณค่าเท่าใดนักในระบบนิเวศ แต่กลับทรงคุณค่าอย่างยิ่งในแง่การท่องเที่ยว เพราะปะการังอ่อนและกัลปังหามีความสวยงามมาก
และเป็นจุดสนใจอย่างยิ่งของบรรดานักดำน้ำและช่างภาพใต้ทะเล
แนวปะการังซากหินปูน
นอก จากนี้
ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกหลายชนิดที่มีส่วนเสริมสร้างหินปูนพอกพูนสะสมในแนวปะการัง
เช่น สาหร่ายหินปูน หอยที่มีเปลือกแข็ง ฯลฯ ทั้งปะการังเองและสิ่งมีชีวิตที่สร้างหินปูนได้
เมื่อตายไปแล้วจะยังคงเหลือซากหินปูนทับถมพอกพูนในแนวปะการัง ซึ่งก็ถือว่าเป็นขบวนการสร้างแนวปะการัง
ซากหินปูนเหล่านั้นค่อยๆ ผุกร่อนเป็นผงตะกอน ซึ่งส่วนหนึ่งก็ยังคงสะสมพอกพูนในแนวปะการัง
แต่อีกส่วนหนึ่งอาจถูกพัดพาล่องลอยไปตามกระแสน้ำไปทับถมพอกพูนเป็นชายหาด
แนว ปะการังที่พบในประเทศไทยเป็นประเภทที่ก่อตัวริมฝั่ง
(fringing reef) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นริมฝั่งของเกาะที่กระจายอยู่ตามนอกชายฝั่งแผ่นดินใหญ่
ออกไป ส่วนตามริมฝั่งแผ่นดินใหญ่นั้น มีแนวปะการังไม่มากนักและมักเป็นแนวปะการังน้ำตื้น
เพราะชายฝั่งแผ่นดินใหญ่มักได้รับอิทธิพลสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะต่อการเจริญ เติบโตของปะการัง
เช่น น้ำขุ่น มีคลองเปิดสู่ทะเลทำให้ความเค็มบริเวณนั้นไม่สูงพอ ฯลฯ
แนวปะการังก่อตัวขึ้นมา
ได้จากการเจริญเติบโตของปะการังหลายๆ
ชนิด โดยธรรมชาติแล้ว ตัวอ่อนปะการังในระยะแรกล่องลอยอยู่ในมวลน้ำ
ต่อมาจะลงยึดเกาะบนพื้นแข็ง เช่นตามพื้นหินติดชายฝั่งและบนซากหินปะการัง
ปะการังวัยอ่อนนั้นจะค่อยๆ เจริญเติบโตมีขนาดใหญ่ขึ้น บอกจากนี้ปะการังบางส่วนที่แตกหักจากขบวนการต่างๆ
เช่น ถูกหอยหรือสัตว์อื่นๆ เจาะไช หรือถูกคลื่นซัด
ปะการังส่วนที่แตกหักนั้นก็จะค่อยๆ กระจายขยายออกไปในทะเล
และยังคงเจริญเติบโตต่อไปได้หาก ไม่ถูกทรายกลบ แต่บางส่วนอาจจะตายไปได้
อย่างไรก็ตามซากหินปูนที่เหลือก็ยังคงเป็นฐานแข็งสำหรับให้ตัวอ่อนปะการังตัวใหม่เข้ามายึดเกาะเพื่อเจริญเติบโตต่อไป
ในประเทศไทยได้มีนักวิทยาศาสตร์ศึกษาวิวัฒนาการการก่อตัวของแนวปะการังน้ำตื้นที่อ่าวตังเข็นจังหวัดภูเก็ต
(Tudhope and Scoffin, 1994) พบว่า
แนวปะการังที่นั่นเริ่มก่อตัวที่ปีกอ่าวที่เป็นโขดหินตั้งแต่ประมาณ 6,000 ปีที่แล้ว โดยแนวปะการังค่อยๆ ก่อตัวยื่นขยายออกไปในทะเลเรื่อยๆ
ซึ่งในปัจจุบันแนวปะการังแห่งนี้ลึกสุดประมาณ
5 เมตร
แนวปะการังที่นับว่ามีวิวัฒนาการมาช้านานของประเทศไทย ได้แก่
แนวปะการังตามหมู่เกาะสุรินทร์ และหมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตจังหวัดพังงา
แนวปะการังทั้งสองแห่งนี้ก่อตัวเป็นแนวขนาดใหญ่และในหลายจุดก่อตัวลึกถึงพื้นระดับประมาณ
30 เมตร
ปะการังที่นับว่าเป็นชนิดเด่น
(dominant species) ทั้งในแง่จำนวนและปริมาตรที่ปกคลุมพื้นที่
หรืออาจเรียกอีกนัยหนึ่งว่าเป็นชนิดที่เป็นตัวหลักในการก่อตัวของแนวปะการังในประเทศไทย
ได้แก่ ปะการังโขด (Porites lutea) ปะการังผิวย่น (Porites
Synaraea rus) ปะการังเขากวาง (Acropora formosa) (นิพนธ์, 2533)
ปะการังเขากวาง (Acropora
formosa)
































z827p3dmdkc620 vibrators,sex chair,horse dildo,sex toys,dildos,penis rings,realistic sex dolls,finger vibrator,dildos u303e8vjdyx445
ตอบลบ